เมื่อไหร่ที่คุณควรเรียนปริญญาโท MBA

การเรียนปริญญาโท คือประสบการณ์ที่เซลล์ร้อยล้านเองก็ได้ลิ้มรสอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก่อนหน้านี้ผมพูดตรงๆ เลยว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเรียนปริญญาโทเลยแม้แต่น้อยครับ เพราะผมเคยคิดไปเองว่าการเรียนปริญญาโทนั้นมันเป็นเรื่องที่เสียเวลา เรียนไว้เพื่ออัพเงินเดือน หรือเรียนไปงั้นๆ แต่บางคนได้เงินเดือนน้อยกว่าเด็กวุฒิปริญญาตรีด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าไม่ใช่หนทางแห่งความร่ำรวยตามชีวิตเศรษฐที่เคยอ่านหนังสือมาเลยแม้แต่น้อย (สารภาพเลยครับ) ใช่ครับ มันคือความจริงที่คุณจะรวยนั้นมันไม่ได้ยากเกินความสามารถของคุณหลายๆ คนเป็นพ่อค้าแม่ค้าเปิดท้ายขายของมาก่อนแล้วสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเศรษฐีได้ มีบทเรียนชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จมากมายให้คุณได้ศึกษาที่สำคัญคือแต่ละคนไม่ได้เรียนปริญญาโทหรือจบสูงมาด้วยซ้ำ แต่พอผมได้คลุกอยู่กับวงการสตาร์ทอัพและธุรกิจระดับสูงแบบองค์กร (B2B) สิ่งนี้และครับที่เปรียบได้กับการไขว่คว้าโอกาสแบบที่ผมถนัดมากกว่า คำว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” นั้นมีอยู่จริง ธุรกิจที่เป็นรูปแบบบริษัทจะมีความต่างกับธุรกิจที่รวยแบบSME อย่างเห็นได้ชัด มันจะมีเรื่ององค์กร ภาพลักษณ์ ตำแหน่ง หน้าตาทางสังคมฯลฯ เข้ามา หลักสูตรปริญญาโท โดยเฉพาะปริญญาบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต (MBA:Master of Busines Administrator) เป็นหลักสูตรปริญญาโทที่เรียนเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ จึงมีบทบาทสำคัญในโลกของธุรกิจ และมีนักธุรกิจมากมายที่ต้องมีวุฒิปริญญาโทหลักสูตรนี้ ผมจึงขอแชร์เหตุผลว่าเมื่อไหร่คุณถึงจะพร้อมเรียน MBA กันเลยครับ 1. เมื่อคุณมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีพอ อย่าริจะเรียน MBA เพื่อเอาไว้หวังน้ำบ่อหน้าว่าเรียนจบแล้วจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นทะลุแสนหรือได้เป็นหัวหน้างานทันทีหลังเรียนจบ แต่ประสบการณ์การทำงานต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เว้นเสียแต่คุณจะเป็นลูก CEO หรือผู้สอบทอดกิจการพันล้าน ถ้าคุณยังเป็นแค่พนักงานระดับล่างและยังไม่ได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นระดับผู้จัดการ (Manager) ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นหรือระดับกลางขึ้นไป คุณไม่จำเป็นต้องเรียนเลยครับเพราะการเรียนปริญญาโทจะบั่นทอนเวลาทำงานของคุณมากๆ ต่อให้เรียนภาคค่ำ เสาร์–อาทิตย์ก็เหอะ สู้เอาเวลาไปก้มหน้าก้มตาหาเงินและทำงานประจำจนได้เลื่อนขั้นในบริษัทชั้นนำจะดีกว่าครับ เพราะต่อให้คุณเรียนจบMBA อายุน้อยก็จริง แต่ตำแหน่งงานยังไปไม่ถึงไหน ภาษีของคุณย่อมน้อยกว่าคนที่ทำงานเก่งและมีประสบการณ์ที่ดี เผลอๆ เป็นลูกน้องเด็ก ป.ตรี ก็เพราะเหตุนี้นั่นเองครับ ที่สำคัญคือ MBA ที่เรียนแล้วได้ใช้แน่นอน คุณจะต้องทำงานอยู่ในฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือผลกำไรของบริษัท เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี ฝ่ายการเงิน เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งงานเหล่านี้ล้วนต้องการคนที่มีทักษะการจัดการที่ผ่านการพิสูจน์จากหลักสูตร MBA ทั้งนั้นครับ 2. เมื่อคุณมีเงินมากพอ การเข้าสู่โลกแห่งการทำงานเต็มตัวคงไม่ทำให้คุณต้องลำบากขอเงินพ่อแม่อีกต่อไป การเรียน MBA ถือว่าเป็นการลงทุนกับตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งคุณภาพจะดีหรือไม่ดีก็ต้องขึ้นอยู่กับสถาบันและ “ค่าเทอมที่คุณจ่าย” (ฮา) ก็แน่ล่ะครับว่าหลักสูตรMBA ไม่มีรัฐบาลช่วยอุ้มเหมือนป.ตรี แน่นอน เงินในกระเป๋าจะเป็นตัวบ่งบอกถึงการซื้อโอกาสและคอนเนคชั่น รวมไปถึงวุฒิอันทรงเกียรติที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต ถ้าคุณเรียนพอใช้ได้ ไม่ได้โง่ จงเก็บเงินให้มากพอเพื่อซื้อโอกาสในการเรียนกับสถาบันที่มีชื่อเสียง ส่วนสถาบันโนเนมนั้น เซลล์ร้อยล้านไม่แนะนำเด็ดขาด แต่ถ้าพ่อแม่คุณมีเงินและพร้อมที่จะช่วยคุณก็ลุยได้เลยนะครับ ไม่ผิดที่จะใช้เงินพ่อแม่อีกเหมือนกัน 3. เมื่อคุณต้องการเป็นผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ในบริษัทชื่อดัง ตำแหน่งงานในฝันของชาวมนุษย์เงินเดือนแทบทุกคนก็คือผู้จัดการ ผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ไปจนถึง General Manager, Managing Director, CEO, President เป็นต้นในบริษัทที่มีชื่อเสียง ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตของใครหลายๆคน เพราะนอกจากจะมี “หัวโขน” ที่ทำให้คุณภูมิใจได้เต็มอก คุณยังจะได้เงินเดือนระดับหลายแสนไปจนถึงหลักล้าน รวมไปถึงสวัสดิการที่ดีเลิศ มีลูกน้องให้คุมเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพัน มีเงินเข้ากระเป๋าทุกเดือนพร้อมกับหุ้นในบางบริษัท งานในตำแหน่งนี้หลายๆ คนรวยกว่าทำธุรกิจส่วนตัวเยอะมาก ตำแหน่งนี้จึงไม่มีการคัดคนแบบซี้ซั้วแน่นอน ซึ่งถ้าคุณจะก้าวขึ้นสู้ตำแหน่งระดับผู้บริหาร (Executive) โดยเฉพาะในบริษัทชื่อดัง ขอบอกเลยว่าแต่เสือ สิงห์ กระทิงแรดทั้งนั้น คนที่ถูกคัดเลือกมาจะมีความเก่งเหนือมนุษย์เช่นเดียวกับคุณในกรณีที่คุณเป็นตัวเลือก (Candidate) สำหรับระดับผู้บริหาร แต่ถ้าคุณไม่มีวุฒิ MBA ของสถาบันชื่อดัง คุณจะมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะได้ขึ้นสู่ระดับ C-Level ครับ ยิ่งบริษัทมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าไหร่ วุฒิของคนระดับนั้นย่อมเทพขึ้นเท่านั้น จบยูดังแถมยังเป็นเมืองนอกอีกด้วย ลำพังถ้าคุณไม่ได้จบศศินทร์หรือสถาบันที่เทียบเคียงได้ ชาตินี้ไม่มีทางสู้เด็กจบนอกยูดังได้แน่นอน โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ยิ่งสูงยิ่งหนาวมีจริง 4. เมื่อคุณต้องการซูเปอร์คอนเนคชั่น คำว่าคอนเนคชั่นคงเป็นคำที่คุณได้ยินจนเบื่อ แต่มันก็คือเรื่องจริงที่หลักสูตรMBA จะมีคนที่คิดดี ใฝ่ดี ต้องการประสบความสำเร็จและต้องการก้าวหน้าเหมือนกับคุณ การได้เรียนกับบุคคลระดับสุดยอดจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายในการก้าวไปเป็นผู้ประกอบการในอนาคต เผลอๆ ไม่ต้องใช้เงินซักบาทถ้าคุณมีดีพอถ้าคุณเก่งหรือมีความสามารถ เช่น การขาย การตลาด หรือการเงิน เพื่อนร่วมรุ่นคุณนี่แหละที่จะชวนคุณทำธุรกิจ มีหลายโมเดลธุรกิจตอนนี้ที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ป.โท ที่รวมตัวกันทำธุรกิจแบบคนเรียนหนังสือ ความเสี่ยงจึงมีน้อยกว่าพร้อมกับความรู้ที่มีมากกว่าจึงทำให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้าได้เร็ว แต่ถ้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่สนใจโลก รักสันโดษ ไม่เอาสังคม ก็ต้องขอบอกว่าเลิกเฮอะ อย่าเรียนเลย เสียเวลาเปล่าๆ ครับ คอนเนคชั่นซื้อได้ด้วยเงิน บางคนได้แฟนดีๆ แถมยังมีสมองกับสิ่งที่คิดคล้ายๆ กับคุณด้วยนะเออ (ฮา) 5. เมื่อคุณอยากรวยขึ้น ถ้าเรียนแล้วไม่คิดว่าจะรวยขึ้นก็อย่าเรียนมันเลยครับ หลักสูตร MBA คือหลักสูตรที่สอนคุณคิดเรื่องการบริหารภายในองค์กร ถ้าคุณทำงานตรงสายและมีวุฒินี้อยู่กับมือเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นกับโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นหรือรุ่นพี่ย่อมทำให้ประตูสู่ความมั่งคั่งนั้นเปิดกว้างกว่าการอยู่แต่ในกะลาแล้วไม่ออกไปดูโลกว่าหมุนไปถึงไหนแล้วจงคิดเสมอว่าถ้าเลือกมาเรียนปริญญาโทก็ต้องได้อะไรกลับไปอย่างน้อยต้องมีฐานะที่รวยขึ้นในอนาคตอันใกล้แต่ถ้าเรียนไปเพื่อฆ่าเวลาขอบอกเลยว่าคุณไม่มีทางเอาวุฒิป.โท มาทำให้คุณรวยขึ้นแน่นอน นี่คือเหตุผลที่ผมอยากให้คุณลองลงทุนกับตัวเองเพื่อสร้างความมั่งคั่งในอนาคตนะครับ Credit: https://bit.ly/3RwCA3i

สาเหตุอาการง่วงตอนบ่ายและวิธีการรับมือปัญหา

เคยไหมครับ? เข้าสู่ช่วงบ่ายทีไรรู้สึกง่วงทุกทีเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน หรือใครก็ตาม ผมมั่นใจว่าคุณน่าจะเคยประสบกับปัญหาเดียวกันกับผม นั่นก็คือ รู้สึกง่วงนอนน ในตอนบ่ายหลังทานอาหารกลางวัน ซึ่งผมมั่นใจว่าปัญหานี้น่าจะส่งผลกระทบทำให้คุณต้องเสียสมาธิในการเรียน หรือรบกวนสมาธิในการทำงานของคุณแน่นอน ปัญหานี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา วันนี้เราจะมาไขข้อสังสัยกันว่า สาเหตุอาการง่วงตอนบ่าย และวิธีการรับมือปัญหาอาการง่วงที่ไม่พึ่งประสงค์คืออะไร มาไขข้อสงสัยไปพร้อมๆกันน สาเหตุอาการง่วงนอนตอนบ่าย กินเยอะ หากคุณกินอาหารเยอะเกินไป ร่างกายก็จะโฟกัสในการย่อย ก็จะดึงเลือดเราไปโฟกัสที่บริเวณหน้าท้อง ทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียรู้สึกตาตกง่ายขึ้น และยิ่งคุณกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดย่อยเร็วเยอะ เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง น้ำหวาน ก็จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียครับ ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย การนั่งทำงานอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้ลุกเดิน ขยับเคลื่อนไหวร่างกายก็จะทำให้รู้สึกง่วงได้ รวมถึงการจดจ่ออยู่กับอะไรนานๆ ก็จะทำให้เพลียและอ่อนล้า ยิ่งผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลายิ่งทำให้รู้สึกล้าสายตาและต้องการการพักผ่อนระหว่างวันมากยิ่งขึ้น มีปัญหาด้านสุขภาพ การมีปัญหาด้านสุขภาพหรือมีโรคประจำตัวก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนบ่ายเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย และเหนื่อยล้าได้ง่ายกว่าปกติ นอนกรน อีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ง่วงนอนตอนบ่ายก็คือการนอนกรนและสะดุ้งเฮือกตื่นระหว่างคืนวนเป็นวงจรอยู่อย่างนี้ตลอดคืน ซึ่งการนอนกรนก็มีทั้งแบบปกติและแบบรุนแรง ซึ่งมีผลเสียแตกต่างกันออกไป วิธีการรับมือและแก้ไขปัญหาง่วงนอนตอนบ่าย แบ่งย่อยมื้ออาหารและดื่มน้ำมากๆ การทานอาหารบ่อยๆ ในปริมาณที่ไม่มากกำลังพอเหมาะ จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานไปได้ตลอดทั้งวันโดยไม่อ่อนเพลีย ลองเปลี่ยนมาย่อยมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อใหญ่ เป็นวันละ 5-6 มื้อย่อย รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ไม่น้อย ขยับบ้าง ออกกำลังกายบ้าง การที่เราได้ขยับ […]

คิดไอเดีย เจอโจทย์ยากแค่ไหนก็เอาอยู่ กับ เทคนิค Brainstorming !

ทันทีที่โลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับรูปแบบการทำงานตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ทุกอย่างรอบตัวก็เหมือนจะเดินหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แน่นอนว่าส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นตามไปด้วย การเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกขึ้นทำให้ความเลื่อมล้ำด้านข้อมูลในตัวบุคคลหรือองค์กรไม่มีเหมือนในสมัยก่อน ยุคแห่งการแข่งขันด้วยข้อมูลจึงหมดไปและกลายเป็นการวัดฝีมือกันที่ความคิดสร้างสรรค์แทน ที่เห็นชัดๆ ก็คือกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่ต้องสรรหาไอเดียใหม่ๆ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายแบบที่สามารถดึงดูดใจได้ในทันที และกลุ่มของพนักงานออฟฟิศที่ต้องแก้โจทย์ของงานที่ซับซ้อนมากขึ้นของบริษัท วิธีการค้นหาไอเดียเด็ดๆ ที่ใช้ได้ดีและมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งก็คือ การระดมสมอง หรือ Brainstorming นั่นเองค่ะ Brainstorming หรือ การผลิตความคิดเพื่อแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือการช่วยกันคิดหาทางออกหรือแก้ปัญหานั่นเอง แต่จะไม่เหมือนการนั่งรวมกลุ่มทั่วๆไปที่ต่างคนก็ต่างแสดงความคิดเห็นกันไปเรื่อยเปื่อย การ Brainstorming  แบบที่สร้างสรรค์ผลงานได้จริงจึงต้องยึดหลักสำคัญ 2 ข้อ นั่นคือ เน้นปริมาณ และ ไม่ด่วนตัดสิน เหตุผลก็คือยิ่งเรามีปริมาณของไอเดียมากเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นโอกาสในการแก้ปัญหาได้หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น และการวิจารณ์หรือตัดสินว่าถูกหรือผิดในทันทีจะเป็นการปิดกั้นความเป็นอิสระทางความคิดทำให้การคิดนอกกรอบหยุดชะงักไป ขั้นตอนในการระดมสมองมีดังนี้ 1. ตีกรอบหรือกำหนดขอบเขตของปัญหาก่อนเสมอ เพื่อให้การระดมสมองไม่ฟุ้งจนออกนอกเรื่องไกลเกินไปจนใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย และชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจถึงเป้าหมายสุดท้ายของการแก้ปัญหาครั้งนี้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ 2. เริ่มระดมสมองอย่างเต็มที่ โดยขั้นตอนนี้ควรกำหนดเวลาเอาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้เกิดความยืดเยื้อ เช่น 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ทุกคนสามารถเสนอไอเดียได้อย่างอิสระเสรีอย่างน้อยคนละ 1 ไอเดีย โดยเขียนไอเดียลงในกระดาษโน้ตแบบมีกาวในตัวแผ่นเล็กๆ และที่สำคัญ ต้องไม่มีการ kill idea อันไหนเด็ดขาด! เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้สมาชิกในทีมของคุณไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรอีกเลย […]

สกัดลอกวิทยานิพนธ์! จุฬาฯขยายเวลาใช้“อักขราวิสุทธิ์(พลัส)”ฟรีอีก 5 ปี

จุฬาฯขยายเวลาความร่วมมือกับ 87 หน่วยงาน ให้ใช้โปรแกรม “อักขราวิสุทธิ์ (พลัส)”ฟรีอีก 5 ปี สกัดการคัดลอกวิทยานิพนธ์ที่เป็นปัญหาคุกคามอยู่ในแวดวงวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับสถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ จำนวน 87 แห่ง ในการขยายเวลาข้อตกลงความร่วมมือการตรวจสอบการลอกเลียนแบบวรรณกรรม ให้ใช้โปรแกรม “อักขราวิสุทธิ์ (พลัส)” โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ออกไปอีกเป็นเวลา 5 ปี จนถึงวันที่ 26 มีนาคม 2570 โดย นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทางวิชาการที่ใช้งานโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ในการตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรมแล้ว ยังเป็นการแสดงจุดยืน เจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจต่อการแก้ไขปัญหาการลอกเลียนวรรณกรรม ที่กำลังเป็นปัญหาคุกคามอยู่ในแวดวงวิชาการในปัจจุบัน และยังเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการปลูกฝังความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญของนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ ทั้งในแวดวงการศึกษาและวงวิชาการต่าง ๆ รวมถึงการร่วมมือกันส่งเสริมและผลักดันเพื่อสร้างและขยายฐานข้อมูลอ้างอิง เพื่อการตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรมของประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่งและเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทุกสถาบันการศึกษา […]

8 เทคนิคขั้นเทพที่ช่วยให้คุณเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใคร ๆ ก็คงอยากเรียนเก่ง ฉลาด และมีความจำเป็นเลิศ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนประสบปัญหาอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว เรียนไม่เก่ง จำไม่ได้หากคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะส่งผลต่อความได้เปรียบ โอกาสในชีวิต และความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้น คุณควรพัฒนาตนเองให้เก่งและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำตามเทคนิค 8 ข้อในบทความนี้ 1) จับประเด็นให้ได้ สรุปความให้เป็น ความสามารถในการสรุปความเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน คุณไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูดหรือทุกตัวอักษร แต่คุณต้องจับประเด็นสำคัญในสิ่งที่คุณฟังหรืออ่าน และถ่ายทอดความเข้าใจนั้นออกมาโดยใช้คำพูดของตนเอง วิธีการฝึกฝนทักษะนี้ก็คือ หลังจากที่คุณอ่านหรือฟังข้อความยาว ๆ ให้คุณลองเขียนสรุปใจความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตนเองเข้าใจเนื้อหาสาระและสามารถจับประเด็นสำคัญได้หรือไม่ 2) ใช้ความกดดันเป็นพลังผลักดัน หากคุณทำให้ตนเองรู้สึกกดดันบ้าง คุณจะสามารถผลักดันความสามารถของตนเองได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจำกัดเวลาในการเรียนรู้ของตนเอง หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น เป็นต้น แรงกดดันนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดและกดดันแต่มันทำให้คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ 3) หลีกหนีสิ่งรบกวน โลกที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุที่รบกวนการเรียนรู้ และทำให้สมาธิของคุณวอกแวก เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเรียนรู้ได้ดี และมีประสิทธิภาพ คุณควรหลีกหนีจากสิ่งยั่วยุเหล่านั้นเพราะความปรารถนาที่จะเรียนรู้อาจยังไม่พอที่จะทำให้คุณเรียนได้ดี แต่คุณต้องรู้จักที่จะปฏิเสธสิ่งรบกวนรอบตัวคุณด้วยดังนั้น ในขณะที่คุณอยู่ในห้องเรียน คุณควรปิดอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ หากคุณอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน คุณควรปิดวิทยุ หรือเปิดเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสมาธิ และจดจ่อกับการเรียนรู้มากขึ้น 4) ฝึกฝนจนชำนาญ สิ่งใดที่กระทำซ้ำ ๆ หรือมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้ฝึกย่อมทำสิ่งนั้นได้ดี ในทางกลับกัน สิ่งใดที่ไม่ได้ทำนาน ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกลืมหรือทำไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นจงอย่ารอช้าที่จะฝึกฝน และทำซ้ำ หนึ่งในวิธีที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ และทำให้คุณหลงลืมได้น้อยลงก็คือ การจดบันทึก กล่าวคือ ยิ่งคุณเขียนมาก คุณก็จะยิ่งจำได้แม่นยำขึ้น เพราะการเขียนจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเมื่อคุณมีสมาธิ คุณก็จะสามารถจดจำสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ อีกทั้งมันยังช่วยเรียบเรียงความคิดของคุณให้เป็นระบบและทำให้การเรียนรู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น5) ใช้ภาพประกอบ หลายคนไม่รู้ว่าความจำมีความเชื่อมโยงกับการมองเห็น กล่าวคือ คนเราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดี เมื่อเราเห็นภาพประกอบยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจำชื่อของพวกเขาได้เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนเท่าๆกันในงานปาร์ตี้ คุณมีแนวโน้มที่จะจำพวกเขาได้มากกว่า 1-2 คนอย่างแน่นอน เพราะคุณได้เห็นหน้าตาพวกเขาจริงๆ และได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการพูดคุย และการสัมผัส ดังนั้น คุณสามารถประยุกต์สิ่งนี้กับการเรียนรู้ของคุณ โดยการใช้ภาพประกอบเพราะมันจะทำให้คุณจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น 6) เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ แน่นอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย หากคุณเปิดเพลงที่คุณชื่นชอบและไม่ได้ฟังมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณจะพบว่าตนเองยังสามารถจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น หากคุณเรียนรู้ในสิ่งที่คุณเกลียด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันเข้าหัว และคุณก็ไม่สามารถทำมันได้ดี ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรรักการเรียนรู้ ทำให้มันน่าสนใจ และจงคิดว่ามันให้ประโยชน์แก่ชีวิตคุณ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ 7) พักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ หากคุณลองสังเกตว่าวันใดที่คุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองของคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากวันใดคุณพักผ่อนน้อย คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น และไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน ดังนั้น แทนที่คุณจะนอนดึกดื่นเพื่อโหมอ่านหนังสือ คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน 8) เชื่อมโยงสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว การเชื่อมโยงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วจะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณจะเห็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น หากคุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คุณอาจนึกถึงคำศัพท์ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือนึกถึงบริบทที่คุณเคยเจอคำศัพท์นี้ในชีวิตประจำวัน วิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจและเห็นความสอดคล้องของความรู้ต่างๆบนโลกใบนี้ Credit: https://bit.ly/3QBTyNS #เรียนวิจัย #รับติวสอบ #รับปรึกษางานวิจัย #ทำdissertation #ทำthesis #ทำวิทยานิพนธ์ #ทำวิทยานิพนธ์ปตรี #ทำวิทยานิพนธ์ปโท #ทำวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนโปรแกรมSPSS #รับทำงานวิจัย #ที่ปรึกษางานวิจัย #รับทำดุษฎีนิพนธ์ #รับติววิทยานิพนธ์ #รับติวธีสิส #รับติวสารนิพนธ์ #รับติววิจัย #รับติวงานวิจัย #รับสอนวิทยานิพนธ์ #รับสอนธีสิส #รับสอนสารนิพนธ์ #รับสอนวิจัย #รับสอนงานวิจัย #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ #รับปรึกษาธีสิส #รับปรึกษาสารนิพนธ์ #รับปรึกษาวิจัย #รับปรึกษางานวิจัย #รับติววิทยานิพนธ์ปตรี #รับติววิทยานิพนธ์ปโท #รับติววิทยานิพนธ์ปเอก #รับสอนวิทยานิพนธ์ปตรี #รับสอนวิทยานิพนธ์ปโท #รับสอนวิทยานิพนธ์ปเอก #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปตรี #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปโท #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนทำวิจัย ##รับสอนดุษฎีนิพนธ์ #รับติวดุษฎีนิพนธ์ #รับปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ #ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ปรึกษาวิจัย #ปรึกษางานวิจัย #ทำวิจัยปโท #phdthesis #หัวข้อวิทยานิพนธ์ #รับทำdissertation #บริษัทรับทำวิจัย #รับเขียนบทความวิชาการ #thesiswriter #spssราคา #ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ทำวิจัยพยาบาล #รับปรึกษาวิจัย #ราคารับทำงานวิจัย #รับทำวิจัยSTATA  #รับวิเคราะห์ข้อมูลSTATA  #รับทำSTATA  #รับแปลผลSTATA  #รับทำ#วิทยานิพนธ์STATA

จริยธรรมการวิจัย คืออะไร

ความหมายของจริยธรรมการวิจัย จริยธรรมการวิจัย (research ethics) หมายถึง หลักเกณฑ์ที่ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัยเพื่อให้การดำเนินงานวิจัยตั้งอยู ่บนพื้นฐานของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม (สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห ่งชาติ, 2541 อ้างใน สินธะวา คามดิษฐ์, 2550: 262) ข้อสังเกต นอกจากคำว่าจริยธรรมในการวิจัยแล้ว ยังมีคำอื่นที่นักวิจัยกล่าวถึงบ่อยครั้ง เช่น คำว่า ‘จรรยาบรรณในการวิจัย’หรือ‘จรรยาบรรณของวิจัย’อย ่างไรก็ตาม หากพิจารณาในรายละเอียดของสองคำนี้แล้ว พบว่าคำเหล่านี้มีหลักการและแนวคิดที่คล้ายคลึงกันหรือใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ทั้งสองคำข้างต้นจะเน้นในเรื่องหลักเกณฑ์ที่ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัย (ชาย โพธิสิตา, 2547; สุชาต ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2542; สินธะวา คามดิษฐ์, 2550) ดังนั้นบทความนี้จะใช้คำว่า ‘จริยธรรมการวิจัย’ ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า research ethics เพื่อสื่อความหมายในเรื่องการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องของนักวิจัยในการทำวิจัย ปัญหาการขาดจริยธรรมการวิจัย ​ ในฐานะนักวิจัยและกรรมการพิจารณาผลงานวิจัย ผู้เขียนได้พบเจอปัญหาการขาดจริยธรรมการวิจัยของนักศึกษาและนักวิจัยในหลายๆประเด็น ซึ่งพอสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ การคัดลอกผลงาน ข้อความ หรือความคิดเห็นของผู้อื่น (บางส่วนหรือทั้งหมด) โดยไม่อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล หรือบางรายอาจคัดลอกผลงานแล้วนำมาใช้เป็นผลงานของตนเอง การขโมยความคิดหรือคำพูดของผู้อื่นโดยไม่ได้อ้างอิง (plagiarism) ​ การเขียนทบทวนวรรณกรรมโดยไม่อ้างถึงเจ้าของผลงานหรือแหล่งข้อมูล การนำข้อความของผู้อื่นมาดัดแปลงตัดต่อหรือแก้ไขเพื่อเป็นข้อความของตนเอง แต่ไม่อ้างถึงเจ้าของผลงานเดิม  การแก้ไขผลการวิจัย ตัวเลข หรือข้อมูลบางอย่างที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง การเปิดเผยหรือไม่เก็บความลับของผู้ให้ข้อมูล รวมทั้งการขาดความรับผิดชอบต่อการรักษาข้อมูลการปฏิบัติต่อผู้ให้ข้อมูลอย่างไม่เป็นธรรม การสร้างภัยคุกคามให้แก่ผู้ให้ข้อมูล หรือ การทำให้ผู้ให้ข้อมูลได้รับอันตรายหรืออับอาย จากการวิจัย การเขียนข้อเสนอแนะจากแนวคิดของผู้อื่น แต่ไม่อ้างถึงเจ้าของแนวคิดนั้น การจ้างวานผู้อื่นทำงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ให้บางส่วนหรือทั้งหมด การขาดความรับผิดชอบในการทำวิจัยหรือการดำเนินงานวิจัยให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาจากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นความสำคัญของจริยธรรมการวิจัย และเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องมีประเด็นเรื่องจริยธรรมการวิจัย […]

8 เทคนิคขั้นเทพที่ช่วยให้คุณเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใคร ๆ ก็คงอยากเรียนเก่ง ฉลาด และมีความจำเป็นเลิศ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนประสบปัญหาอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว เรียนไม่เก่ง จำไม่ได้หากคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะส่งผลต่อความได้เปรียบ โอกาสในชีวิต และความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้น คุณควรพัฒนาตนเองให้เก่งและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำตามเทคนิค 8 ข้อในบทความนี้ 1) จับประเด็นให้ได้ สรุปความให้เป็น ความสามารถในการสรุปความเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน คุณไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูดหรือทุกตัวอักษร แต่คุณต้องจับประเด็นสำคัญในสิ่งที่คุณฟังหรืออ่าน และถ่ายทอดความเข้าใจนั้นออกมาโดยใช้คำพูดของตนเอง วิธีการฝึกฝนทักษะนี้ก็คือ หลังจากที่คุณอ่านหรือฟังข้อความยาว ๆ ให้คุณลองเขียนสรุปใจความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตนเองเข้าใจเนื้อหาสาระและสามารถจับประเด็นสำคัญได้หรือไม่ 2) ใช้ความกดดันเป็นพลังผลักดัน หากคุณทำให้ตนเองรู้สึกกดดันบ้าง คุณจะสามารถผลักดันความสามารถของตนเองได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจำกัดเวลาในการเรียนรู้ของตนเอง หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น เป็นต้น แรงกดดันนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดและกดดันแต่มันทำให้คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ 3) หลีกหนีสิ่งรบกวน โลกที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุที่รบกวนการเรียนรู้ และทำให้สมาธิของคุณวอกแวก เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเรียนรู้ได้ดี และมีประสิทธิภาพ คุณควรหลีกหนีจากสิ่งยั่วยุเหล่านั้นเพราะความปรารถนาที่จะเรียนรู้อาจยังไม่พอที่จะทำให้คุณเรียนได้ดี แต่คุณต้องรู้จักที่จะปฏิเสธสิ่งรบกวนรอบตัวคุณด้วยดังนั้น ในขณะที่คุณอยู่ในห้องเรียน คุณควรปิดอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ หากคุณอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน คุณควรปิดวิทยุ หรือเปิดเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสมาธิ และจดจ่อกับการเรียนรู้มากขึ้น 4) ฝึกฝนจนชำนาญ สิ่งใดที่กระทำซ้ำ ๆ หรือมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้ฝึกย่อมทำสิ่งนั้นได้ดี ในทางกลับกัน สิ่งใดที่ไม่ได้ทำนาน ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกลืมหรือทำไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นจงอย่ารอช้าที่จะฝึกฝน และทำซ้ำ หนึ่งในวิธีที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ และทำให้คุณหลงลืมได้น้อยลงก็คือ การจดบันทึก กล่าวคือ ยิ่งคุณเขียนมาก คุณก็จะยิ่งจำได้แม่นยำขึ้น เพราะการเขียนจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเมื่อคุณมีสมาธิ คุณก็จะสามารถจดจำสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ อีกทั้งมันยังช่วยเรียบเรียงความคิดของคุณให้เป็นระบบและทำให้การเรียนรู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น5) ใช้ภาพประกอบ หลายคนไม่รู้ว่าความจำมีความเชื่อมโยงกับการมองเห็น กล่าวคือ คนเราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดี เมื่อเราเห็นภาพประกอบยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจำชื่อของพวกเขาได้เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนเท่าๆกันในงานปาร์ตี้ คุณมีแนวโน้มที่จะจำพวกเขาได้มากกว่า 1-2 คนอย่างแน่นอน เพราะคุณได้เห็นหน้าตาพวกเขาจริงๆ และได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการพูดคุย และการสัมผัส ดังนั้น คุณสามารถประยุกต์สิ่งนี้กับการเรียนรู้ของคุณ โดยการใช้ภาพประกอบเพราะมันจะทำให้คุณจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น 6) เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ แน่นอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย หากคุณเปิดเพลงที่คุณชื่นชอบและไม่ได้ฟังมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณจะพบว่าตนเองยังสามารถจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น หากคุณเรียนรู้ในสิ่งที่คุณเกลียด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันเข้าหัว และคุณก็ไม่สามารถทำมันได้ดี ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรรักการเรียนรู้ ทำให้มันน่าสนใจ และจงคิดว่ามันให้ประโยชน์แก่ชีวิตคุณ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ 7) พักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ หากคุณลองสังเกตว่าวันใดที่คุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองของคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากวันใดคุณพักผ่อนน้อย คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น และไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน ดังนั้น แทนที่คุณจะนอนดึกดื่นเพื่อโหมอ่านหนังสือ คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน 8) เชื่อมโยงสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว การเชื่อมโยงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วจะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณจะเห็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น หากคุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คุณอาจนึกถึงคำศัพท์ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือนึกถึงบริบทที่คุณเคยเจอคำศัพท์นี้ในชีวิตประจำวัน วิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจและเห็นความสอดคล้องของความรู้ต่างๆบนโลกใบนี้ Credit: https://bit.ly/3QBTyNS #เรียนวิจัย #รับติวสอบ #รับปรึกษางานวิจัย #ทำdissertation #ทำthesis #ทำวิทยานิพนธ์ #ทำวิทยานิพนธ์ปตรี #ทำวิทยานิพนธ์ปโท #ทำวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนโปรแกรมSPSS #รับทำงานวิจัย #ที่ปรึกษางานวิจัย #รับทำดุษฎีนิพนธ์ #รับติววิทยานิพนธ์ #รับติวธีสิส #รับติวสารนิพนธ์ #รับติววิจัย #รับติวงานวิจัย #รับสอนวิทยานิพนธ์ #รับสอนธีสิส #รับสอนสารนิพนธ์ #รับสอนวิจัย #รับสอนงานวิจัย #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ #รับปรึกษาธีสิส #รับปรึกษาสารนิพนธ์ #รับปรึกษาวิจัย #รับปรึกษางานวิจัย #รับติววิทยานิพนธ์ปตรี #รับติววิทยานิพนธ์ปโท #รับติววิทยานิพนธ์ปเอก #รับสอนวิทยานิพนธ์ปตรี #รับสอนวิทยานิพนธ์ปโท #รับสอนวิทยานิพนธ์ปเอก #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปตรี #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปโท #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนทำวิจัย ##รับสอนดุษฎีนิพนธ์ #รับติวดุษฎีนิพนธ์ #รับปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ #ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ปรึกษาวิจัย #ปรึกษางานวิจัย #ทำวิจัยปโท #phdthesis #หัวข้อวิทยานิพนธ์ #รับทำdissertation #บริษัทรับทำวิจัย #รับเขียนบทความวิชาการ #thesiswriter #spssราคา #ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ทำวิจัยพยาบาล #รับปรึกษาวิจัย #ราคารับทำงานวิจัย #รับทำวิจัยSTATA  #รับวิเคราะห์ข้อมูลSTATA  #รับทำSTATA  #รับแปลผลSTATA  #รับทำ#วิทยานิพนธ์STATA

โปรแกรมสำหรับงานวิจัย STATA คืออะไร 

รับวิเคราะห์ข้อมูล,รับวิเคราะห์SPSS, รับวิเคราะห์ EVIEW, รับวิเคราะห์ SAS, รับวิเคราะห์ STATA , รับวิเคราะห์ AMOS และ LISREL, เทคนิคการทำวิจัย รับทำวิจัย จ้างทำวิจัย ปรึกษาการรับทำวิทยานิพนธ์ ปรึกษาการทำดุษฎีนิพนธ์ รับวิเคราะห์ข้อมูล SPSS EVIEW STATA AMOS LISREL / การใช้งาน STATA, คู่มือ STATA, รับทำวิจัย STATA, รับวิเคราะห์ STATA, รับวิเคราะห์ข้อมูล STATA, โปรแกรม STATA, โปรแกรมSTATA โปรแกรม STATA กับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่องานวิจัย  Stata/SE 17 Government License เป็นโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลที่จัดอยู่ในประเภท โปรแกรมสำหรับองค์กร (Corporate Software) ทั้งองค์กรธุรกิจ และองค์กรรัฐ   โปรแกรมStata ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นสำหรับใช้วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในรูปตัวเลขสถิติทุกประเภท ทั้งข้อมูลจากการทดลอง […]

3 เทคนิคเขียนโครงร่างงานวิจัยง่ายๆ

องค์ประกอบของโครงร่างการวิจัย โครงร่างการวิจัย ควรมีองคประกอบสำคัญดังนี้ : 1. ชื่อเรื่อง 2. ความสําคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 4. คําถามของการวิจัย 5. ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6. การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวของ้ 7. สมมติภาพและกรอบแนวคิด 8. ขอบเขตของการวิจัย 9. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 10. นิยามศัพท์ 11. ระเบียบวิธีดําเนินการวิจัย 12. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 13. ระยะเวลาทําการวิจัย 14. รายละเอียดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการวิจัย 15. บรรณนุกรม 16. ภาคผนวก 17. ประวัติของการดําเนินการวิจัย *ไม่จําเป็นต้องมีทุกโครงการ การเขียนโครงร่างงานวิจัย เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยมือใหม่จำเป็นที่จะต้องเขียน เพื่อนำเสนอ concept ของการทำการศึกษาวิจัย โดยเฉพาะการทำการศึกษาวิจัยที่มีรูปแบบของงานวิจัยที่เป็นเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพที่จะใช้ในการศึกษาวิจัย ทั้งนี้การที่จะเขียนโครงร่างงานวิจัยให้ง่าย วันนี้เรามี  3 เทคนิคเขียนโครงร่างงานวิจัยง่ายๆ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้  1. รู้จักรูปแบบของการทำวิจัย รูปแบบของการวิจัยเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางในการที่จะทำการศึกษาวิจัยของผู้วิจัยหัวข้อวิจัยดังกล่าว โดยเฉพาะสิ่งที่นิยมในปัจจุบัน คือ รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณหรือรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพที่มักจะได้รับความนิยมในการที่จะเป็นรูปแบบหลักของการศึกษาวิจัย  โดยเฉพาะรูปแบบงานวิจัยที่เป็นรูปแบบงานวิจัยเชิงปริมาณ […]

18 ฐานข้อมูลงานวิจัย อยู่ที่ไหนก็ค้นหาได้

1. ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat University Theses) . ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แบบออนไลน์บนเมนู TU Digital Collection ประกอบด้วยวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท – เอก มากกว่า 2 หมื่นรายการ ให้บริการในรูปแบบ Open Access ดาวน์โหลดวิทยานิพนธ์ได้แม้จะอยู่ภายนอกมหาวิทยาลัย >> https://digital.library.tu.ac.th —————— 2. Thai Digital Collection (TDC) I สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา . แหล่งรวมวิทยานิพนธ์ และงานวิจัย ในรูปแบบเอกสารฉบับเต็ม จากมหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทย . >> http://tdc.thailis.or.th/tdc/basic.php ** ใช้งานนอกเครือข่ายมหาวิทยาลัย ต้องสมัครสมาชิกก่อนนะจ๊ะ ———————- 3. Research Gateway Common Service สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) . แพลตฟอร์มเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลงานวิจัยจากแหล่งต่าง ๆ ภายในประเทศ เช่น คลังข้อมูลงานวิจัยไทย (TNRR) ศูนย์ข้อมูลการวิจัยดิจิทัล (DRIC) รวมทั้งมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (แต่ไม่ได้มี Full Text ทุกรายการนะ) . >> http://www.researchgateway.in.th **ก่อนใช้งานต้องสมัครสมาชิก ———————- […]