prothesis2000

การเขียนบทความทางวิชาการ

การเขียนบทความทางวิชาการ

            บทความทางวิชาการ  เป็นเอกสารทางวิชาการประเภทหนึ่งซึ่งทบวงมหาวิทยาลัย  ได้ให้คำจำกัดความเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการไว้ว่า  “หมายถึงเอกสารซึ่งเรียบเรียงจากผลงานทางวิชาการของตนเอง  หรือของผู้อื่นในลักษณะที่เป็นการวิเคราะห์  วิจารณ์  หรือเสนอแนวความคิดใหม่ๆ จากพื้นฐานทางวิชาการนั้นๆ” (ทบวงมหาวิทยาลัย , เอกสารอัดสำเนา) จากความหมายข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า  บทความทางวิชาการมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอความรู้ความคิดใหม่ๆ  รวมทั้งประสบการณ์ของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ บนพื้นฐานของวิชาการในเรื่องนั้นๆ หรืออาจจะเป็นการแสดงความคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์  วิจารณ์  วิชาการในเรื่องนั้นๆ  เพื่อนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ หรือเพื่อตั้งคำถามหรือประเด็นใหม่ๆ ที่จะกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าในเรื่องนั้นต่อไป  บทความทางวิชาการเป็นช่องทางหนึ่งที่จะเผยแพร่ความรู้  ความคิดและประสบการณ์ของสำนักวิชาการออกสู่วงวิชาการและสาธารณชน  ซึ่งช่วยให้นักวิชาการได้ทราบว่าความคิดและความรู้ใหม่ๆ  ที่ตนได้พัฒนาขึ้นนั้นได้รับการยอมรับหรือไม่ยอมรับ  หรือมีจุดอ่อน  จุดเด่นประการใด  ความรู้และความคิดเหล่านี้ควรจะได้มาจากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้า  วิเคราะห์  วิจารณ์มาอย่างดีแล้วจนกระทั่งเกิดแนวคิดใหม่ๆ ต่อเนื่องออกไป  ในทางที่จะสร้างสรรค์วิชาการเรื่องนั้นๆ ให้งอกงามต่อไปอีก  บทความทางวิชาการที่ดี  ควรมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านได้แนวคิดแนวทางในการนำความคิดนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบหนึ่ง  หรือช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดการพัฒนาความคิดในเรื่องนั้นๆ  ต่อไป

ลักษณะสำคัญของบทความทางวิชาการ

            จากการอภิปรายข้างต้น  บทความทางวิชาการจึงควรมีลักษณะสำคัญๆ ดังนี้

            1.  มีการนำเสนอความรู้  ความคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิชาการที่เชื่อถือได้ในเรื่องนั้นๆ โดยมีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิง

            2.  มีการวิเคราะห์  วิจารณ์  ให้ผู้อ่านเห็นประเด็นสำคัญอันเป็นสาระประโยชน์ที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอแก่ผู้อ่าน  ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัว  หรือประสบการณ์และผลงานของผู้อื่นมาใช้

            3.  มีการเรียบเรียงเนื้อหาสาระอย่างเหมาะสม  เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่างในความรู้ความคิดที่นำเสนอ

            4.  มีการอ้างอิงทางวิชาการและให้แหล่งอ้างอิงทางวิชาการอย่างถูกต้อง  เหมาะสมตามหลักวิชาการ  และจรรยาบรรณของนักวิชาการ

            5.  มีการอภิปรายให้แนวคิด  แนวทางในการนำความรู้  ความคิดที่นำเสนอไปใช้ให้เป็นประโยชน์  หรือมีประเด็นใหม่ๆ ที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความต้องการสืบเสาะหาความรู้หรือพัฒนาความคิดในประเด็นนั้นๆ  ต่อไป

ส่วนประกอบของบทความทางวิชาการ

            โดยทั่วไป  บทความทางวิชาการ  ควรมีส่วนประกอบที่สำคัญๆ  ดังนี้

            1.  ส่วนนำ

            ส่วนนำจะเป็นส่วนที่ผู้เขียนจูงใจให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในเรื่องนั้นๆ  ซึ่งสามารถใช้วิธีการและเทคนิคต่างๆ  ตามแต่ผู้เขียนจะเห็นสมควร  เช่น  อาจใช้ภาษาที่กระตุ้น  จูงใจผู้อ่านหรือยกปัญหาที่กำลังเป็นที่สนใจขณะนั้นขึ้นมาอภิปราย  หรือตั้งประเด็นคำถามหรือปัญหาที่ท้าทายความคิดของผู้อ่านหรืออาจจะกล่าวถึงประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับจากการอ่าน  เป็นต้น  นอกจากจะเป็นส่วนที่ใช้จูงใจผู้อ่านแล้ว  ส่วนนำเป็นส่วนที่ผู้เขียนสามารถกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความนั้น  หรือให้คำชี้แจงที่มาของการเขียนบทความนั้น ๆ  รวมทั้งขอบเขตของบทความนั้น  เพื่อช่วยให้ผู้อ่านไม่คาดหวังเกินขอบเขตที่กำหนด  นอกจากนั้นผู้เขียนอาจใช้ส่วนนำนี้ในการปูพื้นฐานที่จะเป็นในการอ่านเรื่องนั้นให้แก่ผู้อ่าน  หรือให้กรอบแนวคิดที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาสาระที่นำเสนอต่อไป

            2.  ส่วนสาระสำคัญของเรื่อง

            ถัดจากส่วนนำก็จะถึงส่วนที่เป็นการนำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญของเรื่องซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนควรคำนึงถึงประเด็นสำคัญๆ  ดังต่อไปนี้

                            2.1  การจัดลำดับเนื้อหาสาระ  ผู้เขียนควรมีการวางแผนจัดโครงสร้างของเนื้อหาสาระที่จะนำเสนอ  และจัดลำดับเนื้อหาสาระให้เหมาะสมตามธรรมชาติของเนื้อหาสาระนั้น  การนำเสนอเนื้อหาสาระควรมีความต่อเนื่องกัน  เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสาระนั้นได้โดยง่าย

                            2.2  การเรียบเรียงเนื้อหา  ในส่วนนี้ต้องอาศัยความสามารถของผู้เขียนในหลายด้านนอกเหนือจากความเข้าใจในเนื้อหาสาระ  เช่น  ด้านภาษา  ด้านสไตล์การเขียน  ด้านวิธีการนำเสนอเป็นต้น

                                            2.2.1  ด้านการใช้ภาษา  การเขียนบทความทางวิชาการ  จะต้องใช้คำในภาษาไทยหากคำไทยนั้นยังไม่เป็นที่เผยแพร่หลาย  ควรใส่คำภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ  ในกรณีที่ไม่สามารถหาคำไทยได้  จะเป็นต้องทับศัพท์ก็ควรเขียนคำนั้นให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตสถาน  ไม่ควรเขียนภาษาไทยและต่างประเทศปะปนกันในลักษณะที่เรียกว่า “ไทยคำ  อังกฤษคำ”  เพราะจะทำให้งานเขียนนั้นมีลักษณะของความเป็นทางการ (formal) ลดลง  ผู้เขียนบทความทางวิชาการ  จำเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องการเขียนตัวสะกดการันต์ต่างๆ  ให้ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  และควรตรวจทานงานของตนไม่ให้ผิดพลาด  เพราะงานนั้นจะเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการต่อไป

                                            2.2.2  ด้านสไตล์การเขียน  ผู้เขียนแต่ละคนย่อมมีสไตล์การเขียนของตนซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์และเป็นเสรีภาพของผู้เขียน  อย่างไรก็ตาม  ไม่ว่าผู้เขียนจะใช้สไตล์อะไร  สิ่งที่ควรคำนึงก็คือ  ผู้เขียนจะต้องเขียนอธิบายเรื่องนั้นๆ ให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่างมากที่สุด  ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคต่างๆ  ที่

จำเป็น เช่น การจัดลำดับหัวข้อ การยกตัวอย่างที่เหมาะสม การใช้ภาษาที่กระชับชัดเจน และเหมาะสมกับผู้อ่าน เป็นต้น

                                            2.2.3  ด้านวิธีการนำเสนอ  การนำเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและได้อย่างรวดเร็วนั้น  จำเป็นต้องใช้เทคนิคต่างๆ  ในการนำเสนอเข้าช่วย  เช่น การใช้สื่อประเภทภาพ  แผนภูมิ  ตาราง  กราฟ  เป็นต้น  ผู้เขียนควรมีการนำเสนอสื่อต่างๆ  นี้อย่างเหมาะสม  และถูกต้องตามหลักวิชาการ  เช่น  การเขียนชื่อตาราง  การให้หัวข้อต่างๆ  ในตาราง  เป็นต้น

                            2.3  การวิเคราะห์  วิพากษ์  วิจารณ์  และการนำเสนอความคิดของผู้เขียน  บทความที่ดี  ควรมีการนำเสนอความคิดเห็นของผู้เขียน  ซึ่งอาจออกมาในลักษณะของการวิเคราะห์  วิจารณ์  ข้อมูล  เนื้อหาสาระ  ให้เป็นประเด็นที่เป็นส่วนของการริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เขียน  ซึ่งอาจจะนำเสนอไปพร้อมๆ  กับการนำเสนอเนื้อหาสาระ  หรืออาจจะนำเสนอก่อนการนำเสนอข้อมูลหรือเนื้อหาสาระก็ได้  แล้วแต่สไตล์การเขียนของผู้เขียน  หรือความเหมาะสมกับลักษณะเนื้อหาของเรื่องนั้นๆ

            3.  ส่วนสรุป

            บทความทางวิชาการที่ดีควรมีการสรุปประเด็นสำคัญๆ  ของบทความนั้นๆ  ซึ่งอาจทำในลักษณะที่เป็นการย่อ  คือการเลือกเก็บประเด็นสำคัญๆ  ของบทความนั้นๆ   มาเขียนรวมกันไว้อย่างสั้นๆ  ท้ายบท  หรือ  อาจใช้วิธีการบอกผลลัพธ์ว่า  สิ่งที่กล่าวมามีความสำคัญอย่างไร  สามารถนำไปใช้อะไรได้บ้าง  หรือจะทำให้เกิดอะไรต่อไป  (ปรีชา  ช้างขวัญยืน  และคณะ . 2539 : 14 ) หรืออาจใช้วิธีการตั้งคำถามหรือให้ประเด็นทิ้งท้ายกระตุ้นให้ผู้อ่านไปสืบเสาะแสวงหาความรู้  หรือคิดค้นพัฒนาเรื่องนั้นต่อไป  งานเขียนที่ดีควรมีการสรุปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเสมอ

            4.  ส่วนอ้างอิง

            เนื่องจากบทความทางวิชาการ  เป็นงานที่เขียนขึ้นบนพื้นฐานของวิชาการที่ได้มีการศึกษา  ค้นคว้า  วิจัยกันมาแล้ว  และการวิเคราะห์  วิจารณ์อาจมีการเชื่อมโยงกับผลงานของผู้อื่นจึงจำเป็นต้องมีการอ้างอิงเมื่อนำข้อความหรือผลงานของผู้อื่นมาใช้  โดยการระบุให้ชัดเจนว่าเป็นงานของใคร  ทำเมื่อไร  และนำมาจากไหน  เป็นการให้เกียรติเจ้าของงาน  และประกาศให้ผู้อ่านรับรู้ว่า  ส่วนนั้นไม่ใช่ความคิดของผู้อื่น  รวมทั้งเป็นการให้หลักฐานแก่ผู้อ่าน  ให้ผู้อ่านสามารถไปสืบเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม  หรือติดตามตรวจสอบหลักฐานได้

            โดยทั่วไป  การอ้างอิงทำได้หลายแบบที่นิยมกันก็แทรกปนไปในเนื้อหา  การอ้างอิงแบบลงเชิงอรรถ  และการทำบรรณานุกรม

                            4.1  การอ้างอิงแบบแทรกปนไปในเนื้อหา  มี  2  ระบบ  คือ

                                            4.1.1  ระบบนามปี  เป็นการอ้างอิงโดยลงชื่อผู้แต่ง  ปีที่พิมพ์  และเลขหน้าของเอกสารที่อ้างอิง  ตัวอย่างเช่น

                                                      “กิจการพิมพ์ในเมืองไทย  เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก  ตั้งแต่ ปี  พ.ศ.  2371  (สุภาพรรณ  บุญสะอาด , 2517 : 38)”

                                            4.1.2  ระบบหมายเลข  ใช้วิธีระบุหมายเลขสำคัญ  เอกสารอ้างอิงที่เรื่องลำดับไว้ในบรรณานุกรม  และบอกเลขหน้าของเอกสารที่นำมาอ้างอิง  เช่น

                                                      “การพิมพ์หนังสือเริ่มขึ้นในประเทศจีน  ตั้งแต่ราวปี  ค.ศ. 105  และมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ (2:186)”

                            4.2  การอ้างอิงแบบลงเชิงอรรถ  มีหลายแบบ  เช่น  เป็นเชิงอรรถอ้างอิงซึ่งทำในรูปของข้อความที่แยกไว้ท้ายหน้า  โดยลงชื่อผู้แต่ง  ชื่อเรื่อง  สถานที่พิมพ์  สำนักพิมพ์  ปีที่พิมพ์  และเลขหน้า  ในบางกรณีอาจรวมไว้ท้ายบทก็ได้  นอกจากเชิงอรรถอ้างอิงแล้ว  ยังมีเชิงอรรถเสริมความหรือเชิงอรรถอธิบาย  เพื่อให้คำอธิบายเพิ่มเติม  และเชิงอรรถโยง  ซึ่งใช้บอกแหล่งความรู้ที่ผู้อ่านจะหาได้จากส่วนอื่นของเรื่องที่เขียนนั้น  เพื่อจะได้ไม่ต้องนำข้อมูลซึ่งเขียนแล้วมากล่าวซ้ำอีก  นอกจากนั้น  การอ้างซึ่งมีลักษณะเป็นการอิง  คือไม่ได้นำผลงานส่วนใดส่วนหนึ่งมากล่าวอ้างโดยตรง  แต่เป็นการนำความคิดหรือข้อมูลของเขามาเล่าก็ต้องอ้างชื่อเจ้าของผลงาน  และบอกที่มาไว้ในบรรณานุกรม  (ปรีชา  ช้างขวัญยืนและคณะ , 2539:76